ถ่ายรูปกับโคมแดง ลอดผ่านประตูคามินาริ ช็อปไป ชิมไปที่ถนนนาคามิเสะ และแล้วตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะไหว้พระขอพรกันสักทีที่ “วัดเซนโซจิ”
วัดเซนโซจิ หรือ อีกชื่อนึงที่คนนิยมเรียกกัน คือ วัดอาซากุสะ ชื่อนี้มาจากชื่อย่านที่วัดตั้งอยู่คือย่านอาซากุสะครับ ส่วนบางคนที่จำชื่อวัดไม่ได้ ก็เรียกสั้นๆ กันว่าวัดโคมแดง วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปของพระโพธิสัตว์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าในปี 628 มีชาวประมงสองคนพี่น้อง ชื่อว่า ฮิโนกุมะ ฮามานาริ กับ ฮิโนกุมะ ทาเกนาริ ปกติทุกๆ วัน เขาจะออกไปหาปลากันที่แม่น้ำสุมิดะ แต่มีอยู่วันหนึ่ง เขาจับปลาไม่ได้เลยสักตัว เขาจึงอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอให้วันนี้จับให้ได้ทีเถอะ อย่างน้อยได้สักตัวก็ยังดี จะได้เอาไปเป็นกับข้าวเย็นที่บ้าน
จากนั้นเมื่อเขาหว่านแหออกไป สิ่งที่ได้มากลับไม่ใช่ปลา แต่เป็นเทวรูปพระโพธิสัตว์ทองคำ สูง 5 นิ้วแทน และด้วยความตกใจ เขาเลยนำเรื่องนี้ไปบอกกับผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ ฮาจิโนะ นากาโมโตะ ผู้ใหญ่บ้านเกิดความเลื่อมใส จึงยกที่บ้านของตัวเองเพื่อสร้างวัดเล็กๆ ขึ้นมาไว้ประดิษฐานเทวรูปนี้ เพื่อให้ชาวบ้าน ซามูไร หรือผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เข้ามาสักการะกราบไหว้ หลังจากนั้นชื่อเสียงของวัดเซนโซจิก็เริ่มโด่งดังขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่มาขอพร มักจะสมปรารถนากัน และบอกกันนปากต่อปาก จนวันนึงเรื่องถึงหูท่านโชกุน ท่านจึงสั่งให้สร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้นในปี 645 และก็มีการสร้างส่วนอื่นๆ ต่อเติมมาจนถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด จนมาถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดเซนโซจิผ่านร้อน ผ่านหนาวมาหลายครั้ง โดยเฉพาะผ่านร้อนนี่บ่อยเลยครับ วัดโดนไฟไหม้หลายครั้งมากๆ แต่พอโดนไหม้ก็บูรณะใหม่ขึ้นมาทุกครั้ง แต่ที่หนักสุดคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดถูกทำลายจากการโจมตีทางอากาศ ทำให้ต้องสร้างวัดใหม่ทั้งหมด วัดเซนโซจิ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่และความสงบสุข ในช่วงคืนวันสิ้นปีจนถึงเช้าวันปีใหม่ ที่วัดเซนโซจิจะหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่มาไหว้พระขอพรเพื่อให้ปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาถึงเป็นปีแห่งการเริ่มใหม่ มีแต่สิ่งดีๆ และเป็นปีที่มีแต่ความสงบสุข
ติดๆ กับวัดเซนโซจิ คือ ศาลเจ้าอาซากุสะ จริงๆ แล้วเมื่อก่อนศาลเจ้านี้อยู่ในบริเวณวัดเซนโซจิแหละครับ เพียงแต่ว่าในช่วงยุคเมจิได้มีการออกกฎ ให้แยกศาลเจ้ากับวัดออกจากกัน ดังนั้นศาลเจ้ากับวัดจึงแยกออกจากกันตั้งแต่นั้นมา แต่ถึงจะแยกจากกัน แต่ก็เหมือนไม่ได้แยกแหละครับ อพราะอยู่ติดๆ กันเลย ในช่วงกลางคืนนั้นที่วัดเซนโซจิก็มีการจัดไลท์อัพด้วยนะครับ จะเห็นทั้งตัวอาคาร และเจดีย์ 5 ชั้นสวยงาม รวมไปถึงบริเวณประตูโฮโซมงกับประตูคามินาริมงด้วยครับ โคมแดงใหญ่ยักษ์ถูกสาดแสงไฟ ยิ่งถ้าไปช่วงดึกๆ คนน้อยๆ ก็จะได้บรรยากาศเงียบสงบ ปนเหงาๆ สวยไปอีกแบบครับ
เมื่อเราผ่านประตูโฮโซมงเข้ามา ก็จะเจอบ่อน้ำ ซึ่งตามธรรมเนียมวัดญี่ปุ่นนั้น ก่อนที่เราจะเข้าไปสักการะ เราต้องล้างหน้า ล้างมือ ล้างปากซะก่อนเพื่อเป็นการชำระร่างกายให้สะอาด เมื่อล้างเสร็จแล้วจึงจะเข้าไปสักการะได้ครับ ตรงกลางลานนั้นจะมีกระถางธูปใบใหญ่อยู่ เมื่อสักการะเสร็จแล้วเขาก็จะมาที่กระถางธูปเพื่อกวักควันใส่ตัวกัน เชื่อกันว่าเป็นการกวักสิ่งดีๆ เข้าหาตัวเองครับ
อีกหนึ่งอย่างที่พลาดไม่ได้เลยคือ “เครื่องราง” ครับ เครื่องรางที่ญี่ปุ่นนั้นมีหลากหลายแบบมาก ทั้งเรื่องการเรียน ความรัก ให้แคล้วคลาดปลอดภัย ให้โชคลาภ ฯลฯ แถมยังทำเป็นชิ้นเล็กๆ น่ารักๆ อีก อันนี้ขอเม้าหน่อยเถอะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัดเซนโซจิ ถึงขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยก่อน ก็เครื่องรางที่นี่เขาขลังจริงๆ เห็นหลายคนมาเขียนในเน็ท ซื้อเครื่องรางความรักไป กลับไปมีแฟน บางคนถึงกับมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นเลยก็มี และประสบการณ์ตรง น้องสาวแฟนผมเอง ตอนเช้าไปเที่ยววัดเซนโซจิกัน แล้วนางซื้อเครื่องรางความรัก เย็นวันนั้นเลยจ้า นางไปซื้อของที่ 7-11 มีหนุ่มเข้ามาจีบ 555 เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนั่งรถไฟไปฟูจิ ก็ได้นั่งข้างหนุ่มญี่ปุ่นหล่อๆ อีก ของเขาแรงจริงๆ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อิอิ
เครดิตรูป matcha-jp.com แนะนำ สล็อต pg เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ 2021
สำหรับการเดินทางไปวัดเซนโซจินั้น แนะนำให้ขึ้นรถไฟใต้ดินไปครับ สะดวกมากๆ เลย แค่นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Asakusa Station จากนั้นเดินจากสถานีไปเพียง 5 นาที ก็ถึงละครับ จุดสังเกตง่ายๆ เลย ก็เป็นโคมแดงอันใหญ่ที่ประตูคามินาริมงครับ
สำหรับวัดเซนโซจินั้น ถ้าได้มาโตเกียวคือยังไงก็อยากจะแนะนำให้มาครับ เพราะมีหลายจุดที่น่าสนใจ สามารถใช้เวลาเที่ยวอยู่ที่นี่ต่ำๆ ก็ครึ่งวันได้สบายๆ เลยครับ เดินทางสะดวก ทั้งที่เที่ยว ที่กินครบในจุดเดียว แนะนำเลยครับ ต้องห้ามพลาด!