เป็นที่รู้กันว่าในช่วงฤดูหนาวนั้นเกาะฮ็อกไกโด จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเกาะ สภาพอากาศหนาวเหน็บ ต้นไม้ผลัดใบจนเหลือแต่ลำต้นและกิ่ง แต่เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มต้นขึ้น หิมะค่อยๆ ละลาย ใบไม้เริ่มแตกใบอ่อนอีกครั้ง ดอกซะกุระเริ่มเบ่งบานรับฤดูกาลใหม่ สีขาวจางหายไป และ สีเขียวก็เข้ามาแทนที่
หลังจากที่ฤดูหนาวจากไป ชาวเมืองซัปโปโรก็เริ่มออกมาใช้ชีวิตด้านนอกตามปกติกันอีกครั้ง เริ่มออกมารับแสงแดด เดินเล่น ไปปิคนิคตามสวนสาธารณะต่างๆ พื้นที่สีเขียวที่ชาวเมืองซัปโปโร นิยมใช้สำหรับพักผ่อนกันนั้นนอกจากที่สวนสาธารณะโอโดริแล้ว ก็ยังมีสวนพฤกษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโดอยู่อีกที่หนึ่งด้วยครับ
สวนพฤกษศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ็อกไกโดนั้น ตั้งอยู่ทางด้านหลังของ ศาลาว่าการเมืองฮ็อกไกโดหลังเก่า ซึ่งแต่เดิมในสมัยก่อนนั้น พื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงป่ารกร้าง ต่อมาในปี 1884 ทางรัฐบาลมองเห็นถึงประโยชน์จากการใช้พื้นที่นี้ จึงยกพื้นที่กว่า 80 ไร่นี้ ให้กับทางมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโดเพื่อใช้ศึกษาพืชพรรณและทำการทดลองทางการเกษตร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นถูกสร้างขึ้นตามแบบของสวนพฤกษศาสตร์ตะวันตก และเริ่มเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมได้ในปี 1886 นับได้ว่าสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้นั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและอยู่คู่กับเมืองซัปโปโรมามากกว่า 130 ปีเลยทีเดียว
โซนต่างๆในสวน Botanic Garden Hokkaido University
ภายในสวนพฤกษศาสตร์ถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ มากกว่า 10 โซน มีพันธุ์พืชมากถึง 4,000 สายพันธุ์ ซึ่งในแต่ละโซนนั้นก็จะมีพันธุ์พืชที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเดี๋ยววันนี้เราก็จะเข้าไปเที่ยวชมสวนกันครับ
โซน “Greenhouse” จะเป็นโซนที่อยู่ใกล้กับทางเข้า ที่โซนนี้เขาได้มีการสร้างเรือนกระจกขึ้นมา เพื่อปกป้องพืชจากหิมะและสภาพอากาศที่แปรปรวนในฤดูอื่นๆ ซึ่งภายในเรือนกระจกนั้นจะสามารถปลูกพืชได้แม้จะเป็นฤดูหนาวเนื่องจากภายในเรือนกระจกเขาติดตั้งเครื่องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเอาไว้ด้วย โดยพันธุ์พืชที่ปลูกในเรือนกระจกแห่งนี้จะเป็นพันธุ์พืชที่มาจากเขตร้อนและเขตร้อนชื้น จำพวกผลไม้ ดอกไม้ กล้วยไม้ป่า หม้อข้าวหม้อแกงลิง เฟิร์น และอื่นๆ อีกมากมาย
โซน “Rose Garden” ภายในโซนนี้จะเป็นบริเวณที่ปลูกและศึกษาเกี่ยวกับดอกกุหลาบสายพันธุ์ต่างๆ มีดอกกุหลาบปลูกไว้มากกว่า 20 สายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์เก่าแก่ สายพันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ และ สายพันธุ์พื้นเมืองญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากใครที่ชื่นชอบและหลงใหลในดอกกุหลาบ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน โดยช่วงเวลาที่แนะนำในการมาชมดอกกุหลาบนั้นจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงต้นเดือนกันยายนครับ
โซนสุดท้ายที่จะพามาชมกันในวันนี้คือ “Herbaceous Plants Garden” หรือ โซนสมุนไพรนั่นเองครับ ในโซนนี้เขาได้รวบรวมสมุนไพรท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่นมาปลูกไว้มากกว่า 150 ชนิด รวมไปถึงไม้ดอกตระกูล “แอสเตอร์” ที่สามารถพบได้ทั่วไปในที่ราบลุ่มของเกาะฮ็อกไกโด โดยดอกของมันจะบานตั้งแต่ช่วงกลางฤดูร้อนไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงครับ
การเดินทาง
สำหรับการเดินทางมาเที่ยวชมสวนพฤกษศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ็อกไกโดนั้นไม่ยากเลย นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Sapporo จากนั้นเดินต่อไปอีกไม่ไกล ประมาณ 10 นาทีก็ถึงละครับ เพราะจากสถานีรถไฟนั้น สวนจะอยู่ห่างออกไปแค่ 750 เมตรเท่านั้นเองครับ ในส่วนของค่าเข้าชมนั้น ผู้ใหญ่จะอยู่ที่คนละ 420¥ และเด็ก 300¥ โดยสวนจะเปิดให้เข้าชมเวลา 09:00-16:00 หยุดทุกวันจันทร์ และในช่วงฤดูหนาวจะเปิดให้เข้าชมได้แค่โซนเดียวเท่านั้นคือ โซน Greenhouse ครับ
สำหรับโซนต่างๆ ที่ไปเที่ยวกันมา เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ ถ้าใครมีเวลาเยอะ แนะนำให้เที่ยวในโซนอื่นๆ ด้วย เพราะแต่ละโซนนั้นก็สวยงามและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย การมาเที่ยวที่สวนพฤกษศาสตร์นั้น นอกจากจะได้ถ่ายรูปสวยๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ชื่นชมความงามของดอกไม้กันแล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณต่างๆ กลับไปด้วย และถ้าใครมีแพลนมาเที่ยวที่นี่ ก็สามารถเที่ยวที่อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้อีกด้วย อย่างเช่น ศาลาว่าการเมืองฮ็อกไกโดหลังเก่า และ สวนโอโดริ เรียกได้ว่ามาที่เดียว ได้เที่ยวถึง 3 คุ้มค่าประหยัดเวลาสุดๆ ไปเลยครับ
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> ป๊อกเด้งออนไลน์